+66 2256 4183, +66 2256 4462
prmdcu@gmail.com

MDCU

22 ก.ค. 2019

รพ.จุฬาลงกรณ์ เปิดบริการทางการแพทย์ขั้นสูงเฉลิมพระเกียรติ มุ่งช่วยผู้ป่วยโรคซับซ้อนกว่า 22 โครงการ เป็นกรณีพิเศษ

วันที่ 18 กรกฎาคม 2562 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดงานแถลงข่าวการจัด “โครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูง” ให้บริการผู้ป่วยโรคซับซ้อนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกว่า 22 โครงการ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเป็นปีมหามงคลที่ พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 67 พรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ณ ห้องประชุม 1210 ชั้น 12 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์

 

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจัดทำโครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูงในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเป็นปีมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 67 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2562

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจต่างๆ ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตแก่ราษฎรทุกหมู่เหล่า เช่น กิจการด้านสาธารณสุข การอาชีพ และความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบทห่างไกล การจัดโครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูงนั้นเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี โดยมุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซับซ้อนแก่ประชาชนทุกระดับ ให้มีโอกาสได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีระดับสูงเป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 หรือจนกว่าจะครบจำนวนผู้ป่วยตามโครงการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ถวายพระเกียรติยศและร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว

ในอนาคต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีแผนงานจะจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษา ประกอบกับความพร้อมและความเหมาะสมในการให้บริการทางการแพทย์ทั้งด้านบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการแพทย์ ในการดำเนินโครงการเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษา ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในครอบครัวและสังคมได้อย่างเป็นปกติได้อีกครั้ง รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

 

ศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายบริการ กล่าวว่า เนื่องจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่มีศักยภาพสูง สามารถให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคซับซ้อนได้อย่างดี ดังนั้นการจัดทำ “โครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูง” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ได้มีการคัดเลือกโครงการที่มุ่งเน้นให้การรักษาผู้ป่วยประกอบด้วยโครงการหลัก 5 กลุ่มโครงการได้แก่ 1.โครงการสุขภาพผู้สูงอายุ 2.โครงการผ่าตัดแก้ไขความพิการ 3.โครงการรักษาโรคมะเร็งด้วยเทคโนโลยีใหม่ 4.โครงการรักษาโรคเรื้อรังและปลูกถ่ายอวัยวะ และ 5.โครงการคัดกรองและตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรม โดยมีผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการรักษาจำนวนทั้งสิ้น 500 ราย นอกจากนี้ยังมีโครงการผ่าตัดขั้นสูง 10 กลุ่มโรค ให้แก่ผู้ป่วยจำนวน 150 ราย

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้จัดทำโครงการบริการทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง และมีหลายโครงการที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการรักษา เช่น การรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งเม็ดเลือด หรือการรักษาภาวะปวดเรื้อรังด้วยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นและฝังช่องทางให้ยาไขสันหลัง เป็นต้น โครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูงจะเป็นช่องทางพิเศษให้แก่ผู้ป่วยและผู้ป่วยโรคซับซ้อน ได้มีโอกาสเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ และเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้การรักษาผู้ป่วยด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นโครงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูงนี้จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

กลุ่มโครงการสุขภาพผู้สูงอายุ

  1. โครงการรักษาผู้ป่วยภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน

โดยการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือด (Mechanical Thrombectomy) เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ผศ.พญ.อรอุมา ชุติเนตร ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่พบได้บ่อยและยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประชากรไทย การรักษาโรคสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดความพิการและทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติอีกครั้ง ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการรักษาโรคสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากล นั่นคือการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดแดงเพื่อดึงลากลิ่มเลือดออกมาจากหลอดเลือดสมอง (Mechanical Thrombectomy) อุปกรณ์ชนิดนี้จะมีเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อีกทั้งยังเป็นการรักษาแบบสหสาขาวิชาที่ประกอบด้วยรังสีแพทย์ ประสาทศัลยแพทย์ ประสาทอายุรแพทย์ เป็นต้น ซึ่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นศูนย์รับส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในเขตกรุงเทพมหานคร ให้กับ 16 โรงพยาบาล

สำหรับความพิเศษของโครงการนี้จะแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ตรงที่ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการรักษาในโครงการจะต้องเป็นผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน และอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเข้ารับการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดได้ ณ ช่วงเวลานั้นเท่านั้น โดยโครงการนี้จะรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวน 20 ราย ซึ่งทีมแพทย์จะต้องเร่งทำการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันความพิการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ การรักษาด้วยวิธีใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดเป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้ผลดี ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการรักษา และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งพลาดโอกาสในการรักษาไป โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและสามารถกลับมามีชีวิตที่ปกติ ซึ่งเป็นความมุ่งหวังสูงสุดของโครงการนี้ที่จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันมีโอกาสได้เข้าถึงการรักษาตามมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ดังเดิม

  1. โครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบผ่านท่อ Transcatheter Aortic Valve Implantation (TAVI) เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ.นพ.วศิน พุทธารี ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 80 ปีขึ้นไป เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ลิ้นหัวใจจะเสื่อมสภาพลงหรือมีหินปูนเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจตีบ ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ไม่เต็มที่และเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ วิธีการรักษามาตรฐานคือการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบเปิด และเปลี่ยนลิ้นหัวใจที่ตีบด้วยลิ้นเทียม ซึ่งในผู้ป่วยสูงอายุบางรายสภาพร่างกายไม่สามารถทนต่อการผ่าตัดได้ จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบผ่านท่อ (Transcatheter Aortic Valve Implantation – TAVI) เข้ามาช่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัด

การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบผ่านท่อ (TAVI) เหมาะสำหรับผู้ป่วยสูงอายุโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบที่แพทย์ประเมินแล้วว่า สภาพร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการมาตรฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบเปิดได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ โดยปกติแล้วลิ้นหัวใจของมนุษย์จะมี 4 ลิ้น วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบเท่านั้น หากผู้ป่วยมีปัญหาที่ลิ้นหัวใจอื่นร่วมด้วย การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพน้อยลงกว่าที่ควร

โครงการนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดจำนวน 10 ราย ได้มีโอกาสเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ขั้นสูง เนื่องจากการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบผ่านท่อมีค่าใช้จ่ายที่สูงถึงรายละ 1 ล้านบาท แพงกว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบมาตรฐานถึง 10 เท่า แต่มีข้อดีคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเออร์ติกแบบผ่านท่อจะไม่ต้องเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด  จึงทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบเปิด

ปัจจุบัน ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ทำการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกแบบผ่านท่อให้กับผู้ป่วยไปแล้วกว่า 100 ราย ถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนการรักษาได้มากนัก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นในอนาคตหากมีนโยบายที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบได้มีโอกาสเข้ารับการรักษาและมีชีวิตยืนยาว

ได้มากขึ้นอีกด้วย

 

กลุ่มโครงการแก้ไขความพิการ

  1. โครงการผ่าตัดแก้ไขจอตา กระจกตา และเบ้าตา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

รศ.พญ.วิลาวัณย์ พวงศรีเจริญ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการให้บริการปลูกถ่ายกระจกตาและการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคกระจกตา ฝ่ายจักษุวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โรคกระจกตา หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้การมองเห็นลดลงหรือสูญเสีย การมองเห็นอย่างถาวร ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคกระจกตาเป็นจำนวนมาก วิธีการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา โดยในโครงการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา 30 ดวง เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จากศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการให้บริการปลูกถ่ายกระจกตาและการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคกระจกตาได้นำเข้ากระจกตาจากต่างประเทศ จำนวน 30 ดวง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่จะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคกระจกตาพิการ เพื่อทำให้กลับมามองเห็นได้ในระยะเวลาที่รวดเร็วมากขึ้น จนสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ใกล้เคียงชีวิตปกติมากที่สุด

ขณะเดียวกันโรคจอประสาทตาลอก มีสาเหตุมาจากการฉีกขาดของจอตาจากอุบัติเหตุส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ลดลงหรือสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร โครงการผ่าตัดแก้ไขจอตาลอกหลุด 60 ดวงตา เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการรวมทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทางการรักษาที่ทันสมัยและครบวงจรเพื่อผ่าตัดแก้ไขโรคจอประสาทตาลอกให้แก่ผู้ป่วยในช่วงเวลานอกราชการ จำนวน 60 ราย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดรักษารวดเร็วมากขึ้น ลดโอกาสที่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรและเพื่อการมองโลกใหม่ที่สดใสกว่าเดิม

อีกหนึ่งโครงการคือการรักษาโรคเบ้าตาแตกที่เป็นโรคที่มักเกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง จนทำให้เกิดการมองเห็นภาพซ้อนหรือสูญเสียการมองเห็น ซึ่งในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างอุปกรณ์เสริมเบ้าตาแบบเฉพาะบุคคล (Patient Specific Implant) ด้วยเครื่องพิมพ์แบบสามมิติ (3D Printing) ที่สามารถพิมพ์โลหะไทเทเนียมเพื่อนำมาใช้ทดแทนกระดูกเบ้าตาได้ โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับเบ้าตาเดิมได้มากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยจำนวน 10 ราย ที่ได้เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขเบ้าตาแตกด้วยอุปกรณ์เสริมเบ้าตาแบบเฉพาะบุคคลมีโอกาสกลับมามองเห็นได้ดีขึ้น

  1. โครงการผ่าตัดฝังเครื่องช่วยฟังชนิดฝังกระดูกสำหรับผู้ป่วยซับซ้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผศ.พญ.ภาณินี จารุศรีพันธุ์ ฝ่ายโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ผศ.พญ.ภาณินี จารุศรีพันธุ์ ฝ่ายโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ กล่าวว่า ปัญหาสูญเสียการได้ยินส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และคุณภาพชีวิต การสูญเสียการได้ยินสามารถแบ่งตามระดับความรุนแรงของการได้ยินที่ลดลง และยังสามารถแบ่งตามกลไกการสูญเสียการได้ยิน ปัจจุบันมีอุปกรณ์ฟื้นฟูการได้ยินหลายชนิดซึ่งสามารถเลือกใช้ได้โดยขึ้นอยู่กับกลไกการสูญเสียการได้ยินและระดับความรุนแรง  ผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยินระดับปานกลางจนถึงหูตึงมากสามารถฟื้นฟูด้วยเครื่องช่วยฟังแต่หลายรายยังคงมีปัญหาในการได้ยินแม้ว่าจะใส่เครื่องช่วยฟังแล้วก็ตาม

ดังนั้นโครงการนี้จึงมีเป้าหมายในการฟื้นฟูการได้ยินให้กับผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยินระดับปานกลางจนถึงมากที่ใส่เครื่องช่วยฟังแล้วยังมีปัญหาในการสื่อสารโดยการผ่าตัดฝังเครื่องช่วยฟังชนิดฝังในกระดูกแบบ Active Middle Ear Implant ให้กับผู้ป่วยจำนวน 10 ราย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยมีระดับการได้ยินที่ดี สามารถสื่อสารได้ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม อันเป็นวัตถุประสงค์สูงสุดของโครงการนี้

  1. โครงการผ่าตัดฟันคุด 100 ราย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทพญ.วิภาพร  พรสินศิริรักษ์ ฝ่ายทันตกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ภาวะฟันขึ้นผิดตำแหน่ง หรือที่เรียกว่า ฟันคุด (Impacted Teeth) เป็นปัญหาในช่องปากและฟันที่พบได้บ่อย และมักถูกละเลย สำหรับวิธีการรักษาคือการผ่าตัดเพื่อนำฟันคุดออก มิฉะนั้นแล้วจะก่อให้เกิดภาวะต่างๆ ตามมา เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบที่สามารถลุกลามไปยังบริเวณใต้คางหรือใต้ลิ้น หรืออาการบวมอักเสบที่ใบหน้าบริเวณขากรรไกร เป็นต้น ซึ่งปัญหาฟันคุดนี้หากไม่ได้รับการรักษาในช่วงเวลาที่เหมาะสม เมื่อมีอายุมากขึ้นจะส่งผลให้การผ่าตัดรักษาทำได้ยาก อีกทั้งมีโอกาสเกิดภาวะข้างเคียงสูงขึ้น

ฝ่ายทันตกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะดำเนินโครงการผ่าตัดรักษาภาวะฟันคุดให้แก่ผู้ป่วยจำนวน 100 ราย เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนที่มีปัญหาฟันคุดที่มีการอักเสบหรือคาดว่าจะอักเสบได้รับการรักษาเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

 

กลุ่มโครงการรักษาโรคมะเร็งด้วยเทคโนโลยีใหม่

  1. โครงการเซลล์บําบัดด้วยเซลล์นักฆ่าเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่รักษายาก เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ.นพ.กรมิษฐ์   ศุภพิพัฒน์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า การรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบําบัด โดยการใช้ “เซลล์นักฆ่า” (Natural Killer) เป็นการรักษารูปแบบใหม่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูง นั่นคือ กลุ่มที่มีโรคกลับเป็นซ้ำ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาชนิดอื่น หรือ ไม่สามารถรับการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ รวมถึงใช้รักษาผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำหลังการปลูกถ่ายไขกระดูกด้วย โดยผู้ป่วยจำนวน 10 ราย ที่ได้เข้ารับการรักษาในโครงการนี้ จะเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและตรวจติดตามกับสาขาโลหิตวิทยา ฝ่ายอายุรศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยทางศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบําบัดมะเร็งจะเข้าไปร่วมดูแลด้วยวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เซลล์นักฆ่า (Natural Killer) คือเซลล์เม็ดเลือดขาวในกลุ่มลิมฟอยส์ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการทําลายเซลล์แปลกปลอมและทําลายเซลล์มะเร็งได้ มีประสิทธิภาพสูงทั้งในแง่ของการรักษาและการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบําบัดมะเร็งได้ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า 5 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการกลับมาเป็นซ้ำจากโรคนั่นเอง

  1. โครงการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกําเนิดเม็ดเลือด เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ บุญวรเศรษฐ์ หน่วยโลหิตวิทยา  ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่าจากสถิติในปัจจุบันพบว่า “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” เป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทย ซึ่งในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรายใหม่เป็นจำนวนหลายพันราย โดยปกติแล้วการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะใช้วิธีเคมีบำบัดและ/หรือการฉายแสง ซึ่งจะมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่หายขาดจากโรค แต่อีกจำนวนหนึ่งยังพบมีโรคเหลืออยู่หลังการรักษา หรือรับการรักษาจนหายแล้วแต่กลับมาเป็นซ้ำ โดยผู้ป่วยกลุ่มหลังนี้เป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกําเนิดเม็ดเลือด หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกําเนิดเม็ดเลือด ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวก็มักจะมีอาการของโรคมากขึ้นจนเสียชีวิตได้ในที่สุด

เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกําเนิดเม็ดเลือดเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนสูง สามารถทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลที่มีทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญสูง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากประมาณ 1 ล้านบาทต่อการรักษาผู้ป่วย 1 ราย ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ดังนั้น โครงการที่จัดขึ้นครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ในปี พ.ศ. 2562 นี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สามารถช่วยชีวิตคนไทยให้หายขาดจากโรคร้ายและเป็นกำลังสำคัญของประเทศได้เพิ่มขึ้นอีกถึง 10 ราย

 

กลุ่มโครงการรักษาโรคเรื้อรังและปลูกถ่ายอวัยวะ

  1. โครงการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นและฝังช่องทางให้ยาไขสันหลังเพื่อรักษาภาวะปวดเรื้อรัง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ.นพ.มาร์วิน เทพโสพรรณ หน่วยระงับปวด ฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ภาวะปวดจากโรคมะเร็งไม่เพียงจะบั่นทอนประสิทธิภาพในการทํางานและการดํารงชีวิตประจําวันของผู้ป่วย แต่ยังเป็นภาระต่อครอบครัว การฝังช่องทางการให้ยาทางไขสันหลังถาวรนับเป็นทางเลือกสุดท้ายของผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผลดี มีผลการศึกษารองรับว่าการรักษาปวดมะเร็งที่ดีจะทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นร่วมกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เครื่องกระตุ้นไขสันหลัง เป็นการรักษาอาการปวดหลังร้าวลงขาเรื้อรังในผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระดูกสันหลังแล้วไม่ได้ผลดี หรือปวดมากขึ้น อาการปวดเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และต้องลาออกจากงานประจำ ทั้งนี้ยังมีรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Neurology ในปี ค.ศ. 2009 พบว่า การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไขสันหลังเพื่อรักษาภาวะปวดเรื้อรังจากการผ่าตัดกระดูกสันหลังมีประสิทธิภาพดีกว่าการผ่าตัดซ้ำ สำหรับโครงการที่จัดขึ้นครั้งนี้ หน่วยระงับปวด ฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะดำเนินการรักษาภาวะปวดเรื้อรังด้วยการรักษาขั้นสูงโดยฝังเครื่องกระตุ้นหรือฝังช่องทางให้ยาทางไขสันหลังแก่ผู้ป่วยจำนวน 10 ราย เพื่อให้กลับมาดําเนินชีวิตประจําวันได้เป็นปกติ นอกจากนั้นแล้วยังช่วยลดอุบัติการณ์ของการกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ พร้อมทั้งนําไปสู่การวิจัยและนวัตกรรมใหม่เพื่อประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยให้เหมาะสมต่อไปในอนาคต

  1. โครงการศูนย์บริบาลทางระบบหายใจที่บ้านแบบครบวงจรสำหรับผู้ป่วยเด็ก เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

รศ.พญ.จิตลัดดา  ดีโรจนวงศ์ ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ศูนย์บริบาลทางระบบหายใจที่บ้านแบบครบวงจรสำหรับผู้ป่วยเด็ก ได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อจัดหาเครื่องช่วยหายใจ สำหรับใช้งานที่บ้านให้แก่ผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหายใจเรื้อรัง จำนวน 20 ราย เนื่องจากเครื่องช่วยหายใจไม่ได้อยู่ในรายการเครื่องมือแพทย์ที่สามารถเบิกได้ ทั้งยังมีราคาค่อนข้างสูงตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน ทำให้ผู้ป่วยเด็กบางรายมีโอกาสเข้าถึงการรักษาได้ยากยิ่ง และเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถพาบุตรหลานกลับไปดูแลต่อที่บ้านได้

หลักการดำเนินงานที่โดดเด่นของศูนย์ฯ คือการดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่ผู้ป่วยยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไปจนถึงการจัดหาเครื่องมือไปใช้ต่อเนื่องที่บ้าน ฝึกสอนผู้ปกครองให้สามารถใช้เครื่องมือได้เอง และทีมงานของศูนย์ฯ ยังกลับไปเยี่ยมผู้ป่วยต่อเนื่องถึงบ้านเพื่อติดตามผลอีกด้วย ซึ่งการนำเครื่องมือทางการแพทย์นี้ส่งต่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ที่บ้านจะช่วยลดระยะเวลาการนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลและยังฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น ในผู้ป่วยเด็กบางกลุ่มที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ก็สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจและกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติได้อีกครั้ง

  1. โครงการปลูกถ่ายไต 100 ราย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ผศ.นพ.ณัฐวุฒิ โตวนำชัย ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า แม้ทุกกองทุนของการรักษาพยาบาลในประเทศไทยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายไต แต่การปลูกถ่ายไตกรณีที่หมู่เลือดเข้ากันไม่ได้ระหว่างผู้บริจาคและผู้รับบริจาค (ABO Incompatible KT) ยังคงเป็นการรักษาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินสูง ทั้งนี้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นสถาบันแห่งแรกและแห่งเดียวที่ให้การรักษาการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดนี้ได้เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 10 ปี ในขณะที่ยังมีผู้ป่วยอีกจํานวนมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานานกับการฟอกเลือดเพื่อรอผ่าตัด

สำหรับโครงการนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ และหน่วยโรคไต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะดำเนินการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคไตที่มีชีวิตจํานวน 70 ราย และผ่าตัดปลูกถ่ายไตกรณีข้ามหมู่เลือดจํานวน 30 ราย รวมทั้งสิ้น 100 ราย ที่จะมีการปลูกถ่ายเกิดขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินจากกองทุนการรักษาต่าง ๆ เช่น การปลูกถ่ายไตในผู้ป่วยความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยที่ต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังช่วยลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

 

โครงการคัดกรองและตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรม

  1. โครงการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

รศ.นพ.วิสันต์  เสรีภาพงศ์ ฝ่ายสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ในอดีตการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อน (Preimplantation Genetic Testing – PGT) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อวินิจฉัยการสืบทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อยบนโครโมโซม X ของตัวอ่อน รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีนเดี่ยว แต่ปัจจุบันองค์ความรู้ดังกล่าวได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยในการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพสูงสุดและเพิ่มอัตราความสําเร็จของการตั้งครรภ์ โดยแบ่งการตรวจวินิจฉัย PGT ออกเป็น 2 ประเภท คือ การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมในตัวอ่อนก่อนการฝังตัว เช่น การตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซม (กลุ่มอาการดาวน์) และการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อนก่อนการฝังตัว เช่น โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง เป็นต้น หน่วยชีววิทยาการเจริญพันธุ์ ฝ่ายสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ร่วมกับศูนย์อณูพันธุศาสตร์เพื่อการวินิจฉัยโรค ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อนให้แก่คู่สมรสที่ต้องการมีบุตร แต่มีความเสี่ยงที่ทารกจะเป็นโรคทางพันธุกรรมร้ายแรง และเป็นคู่สมรสที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อายุตั้งแต่ 20 – 40 ปี จํานวน 10 ราย ตลอดระยะเวลาโครงการภายใน 1 ปี นอกจากนั้นแล้วยังมีกำหนดจะเริ่มเปิดให้บริการทางการแพทย์ด้านการตรวจวินิจฉัย PGT อย่างเป็นทางการภายในปี พ.ศ. 2562 นี้ด้วย

  1. โครงการบริการตรวจพันธุกรรมในผู้ป่วยพาร์กินสัน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินธรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ.พญ.พัทธมน  ปัญญาแก้ว ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า กลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวช้า อาการเกร็ง อาการสั่น หรือเดินผิดปกติและทรงตัวลําบาก เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในโรคพาร์กินสัน ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ แต่กลุ่มอาการดังกล่าวก็สามารถเกิดขึ้นกับผู้ป่วยอายุน้อยได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุทางพันธุกรรม ดังนั้นการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องแม่นยำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อันจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการเลือกวิธีรักษาที่ถูกต้อง เพื่อช่วยพยากรณ์การตอบสนองต่อการรักษา ความรุนแรงของโรคและการดําเนินโรคของผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจนสามารถกลับไปทํางานได้ รวมถึงช่วยในการทํานายความเสี่ยงในการเป็นโรคของครอบครัวได้อีกด้วยแต่เนื่องจากการให้บริการตรวจพันธุกรรมและการรักษามีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง รวมไปถึงเทคโนโลยีเฉพาะซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการดังกล่าวของประชาชนทั่วไป ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะขยายโอกาสให้ประชาชนจำนวน 100 ราย สามารถเข้ารับบริการตรวจพันธุกรรมในผู้ป่วยพาร์กินสันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และยังเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาแนวทางการตรวจพันธุกรรมในผู้ป่วยกลุ่มอาการเคลื่อนไหวช้าที่อายุน้อยในประเทศไทยต่อไปในอนาคต

กลุ่มโครงการผ่าตัดขั้นสูง 10 กลุ่มโรค

  1. โครงการผ่าตัดรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่ช่องท้องโป่งพองด้วยขดลวดค้ำยัน (EVAR)

นพ.อภินันท์ อุทัยไพศาลวงศ์ ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้จัดขึ้นโดยฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพองให้กับผู้ป่วยจำนวน 10 ราย โดยใช้วิธีการผ่าตัดรักษาหลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟท์(Endovascular Abdominal Aortic Repair – EVAR) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery)

ทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บจากการผ่าตัดน้อยลง เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยที่ร่างกายมีภาวะความเสี่ยงแทรกซ้อน เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคหัวใจสามารถเข้ารับการผ่าตัดรักษาได้

  1. โครงการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์

อ.นพ.กมล  ภานุมาตรัศมี ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยหน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาด้วยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) ไปสู่ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จำนวน 10 ราย ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจะบอบช้ำจากการผ่าตัดน้อยลงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

  1. โครงการผ่าตัดมะเร็งกระดูกด้วยข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษ

อ.นพ.ชินดนัย  หงสประภาส  ฝ่ายออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งกระดูกและโรคทางออร์โธปิดิกส์อื่นด้วยข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษให้กับผู้ป่วยจำนวน 10 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิหรือชนิดทุติยภูมิที่มีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสมในการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว รวมถึงผู้ป่วยอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยที่บาดเจ็บสูญเสียกระดูก หรือผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมที่ไม่สามารถใช้ข้อโลหะเทียมชนิดธรรมดาได้

  1. โครงการผ่าตัดสร้างนิ้วหัวแม่มือให้ผู้พิการแต่กำเนิด

รศ.นพ.ประวิทย์  กิติดำรงสุข ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาด้วยการผ่าตัดสร้างนิ้วหัวแม่มือใหม่ให้ผู้พิการแต่กำเนิด โดยจะออกค้นหาผู้ป่วยที่ไม่มีนิ้วหัวแม่มือแต่กำเนิดจำนวน 10 ราย จากกลุ่มผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จากการส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นๆ จากการประสานงานของเหล่ากาชาดจังหวัด ร่วมกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย พร้อมนำผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดรักษา ตลอดจนติดตามอาการและดูแลหลังผ่าตัดเป็นระยะเวลาอีก 1 ปี เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

 

  1. โครงการผ่าตัดเด็กกระดูกสันหลังคดด้วยคอมพิวเตอร์นำวิถี

รศ.นพ.วรวรรธน์  ลิ้มทองกุล ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยหน่วยกระดูกสันหลัง ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาให้ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคกระดูกสันหลังคด จำนวน 10 ราย ซึ่งเป็นภาวะทุพพลภาพที่พบได้บ่อยในเด็กช่วงอายุ 10 – 15 ปี สามารถเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังคดด้วยคอมพิวเตอร์นำวิถี (Navigation Computer Assisted Spine Surgery) ที่มีความแม่นยำ ปลอดภัย และบาดเจ็บน้อย ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น

  1. โครงการผ่าตัดรักษากระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ

ดร.นพ.ศรัณย์  ตันติ์ทวิสุทธิ์ ฝ่ายออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการความเป็นเลิศทางการรักษาภาวะกระดูกข้อสะโพกหัก (Hip Fracture Fast Track and Excellent Management – Hip FastEx) ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยจะดำเนินการจัดหาและผ่าตัดรักษาผู้ป่วยสูงอายุที่ประสบภาวะกระดูกสะโพกหักภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมให้การดูแลโดยทีมสหวิชาชีพเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดตามมาตรฐานสากล ลดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ รวมทั้งลดโอกาสการเกิดกระดูกหักซ้ำ โดยมีเป้าหมายจำนวนผู้ป่วยที่จะเข้ารับบริการรวม 60 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในโครงการ Hip FastEx ที่สามารถผ่าตัดได้ภายใน 48 ชั่วโมงในเวลาราชการจำนวน 50 ราย และผู้ป่วยที่อยู่ในโครงการ Hip FastEx ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันภายใน 48 ชั่วโมงในเวลาราชการจำนวน 10 ราย

  1. โครงการผ่าตัดส่องกล้องซ่อมเอ็นหุ้มข้อไหล่ผู้สูงอายุ

ผศ.(พิเศษ)นพ.ธนะเทพ   ตั่นเผ่าพงษ์ ฝ่ายออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า

โครงการนี้ดำเนินการโดยหน่วยเวชศาสตร์การกีฬา ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยที่มีภาวะเอ็นหุ้มข้อไหล่ฉีกขาดแล้วไม่เข้ารับการรักษาเนื่องจากมีภาระเรื่องค่าใช้จ่าย ได้มีโอกาสซ่อมเอ็นหัวไหล่ที่ฉีกขาด โดยใช้วิธีการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงผ่านกล้อง ทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อย แผลเล็ก ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สามารถกลับไปทำงานเพื่อเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวได้ โดยตั้งเป้าหมายที่จะทำการผ่าตัดให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บข้อไหล่ หรือสงสัยว่าภาวะเอ็นหุ้มข้อไหล่ฉีกขาดจำนวน 10 ราย

  1. โครงการผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาทแบบเจาะรูแผลเล็กให้ผู้สูงอายุ

รศ.นพ.วิชาญ  ยิ่งศักดิ์มงคล หน่วยศัลยกรรมกระดูกสันหลัง ฝ่ายออร์โธปิดิกส์   โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยหน่วยกระดูกสันหลัง ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาให้ผู้ป่วยที่มีภาวะการกดทับเส้นประสาทจากความเสื่อมของกระดูกสันหลัง สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery) ผสมผสานกับเทคนิคการผ่าตัดแบบเจาะรู ที่มีข้อดีคือช่วยลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ลดการเสียเลือด รวมถึงลดระยะเวลาในการผ่าตัดและการพักฟื้น ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผู้ป่วยสูงอายุสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย โดยตั้งเป้าหมายที่ทำการผ่าตัดรักษาให้กับผู้ป่วยจำนวน 50 ราย

  1. โครงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเท้าเทียมให้ผู้ป่วยข้อเท้าเสื่อม

อ.ดร.นพ.จิรันดร์  อภินันทน์ ฝ่ายออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ดำเนินการโดยหน่วยออร์โธปิดิกส์เท้าและข้อเท้า ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขยายโอกาสทางการรักษาให้ผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเท้าเสื่อม สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเท้าเทียม ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของแพทย์ประจำบ้านและแพทย์ประจำบ้านต่อยอด เนื่องจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเท้าเทียมเป็นวิธีการที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของแพทย์อย่างยิ่ง ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีแพทย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำการผ่าตัดด้วยวิธีการดังกล่าวนี้ได้ โดยตั้งเป้าหมายคัดเลือกผู้ป่วยที่จะเข้ารับบริการรักษาจำนวน 10 ราย

  1. โครงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมให้ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ข้อเข่าเสื่อม

รศ.นพ.วัชระ  วิไลรัตน์ ฝ่ายออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการโดยฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยนวัตกรรมคอมพิวเตอร์นำวิถี (Computer Navigation) ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วยลดการเสียเลือดระหว่างผ่าตัด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปพึ่งพาตนเองและทำประโยชน์ต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติได้ต่อไป โครงการนี้มีเป้าหมายผ่าตัดรักษาผู้ป่วยจำนวน 10 ราย อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในการดำรงชีวิตของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี

 

กลับไปหน้าข่าวประชาสัมพันธ์
X